เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๕ พ.ค. ๒๕๔๕

 

เทศน์เช้า วันที่ ๕ พฤษภาคม ๒๕๔๕
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

มันไม่จริง มันอนิจจัง ทุกอย่างเป็นอนิจจังทั้งหมด มันเป็นไปได้อย่างไร? ถ้าทุกอย่างเป็นอนิจจัง สรรพสิ่งในโลกนี้เป็นอนิจจัง แต่ความดำรงชีวิตอยู่นี้เราลำบากมาก พอลำบากมากเราจะทรงไว้อย่างไร? การเกิดเป็นมนุษย์นี้แสนยาก เพราะมนุษย์นี้มนุษย์สมบัติกว่าจะได้เกิดมา

แต่ทำไมมนุษย์ยั้วเยี้ยไปหมดเลย? มนุษย์นี่เต็มไปหมดเลย แล้วมนุษย์มันแสนยากทำไมเกิดมามหาศาล นี่ขนาดว่าเป็นมนุษย์นะแสนยาก แล้วเวลาเป็นจิตวิญญาณที่ต้องแสวงหาที่เกิดน่ะ มันทุกข์เหมือนกัน แล้วไม่มีที่ไป ทุกข์แล้วพยายามจะหาที่เกิด จิตแสวงหาที่เกิด เกิดไม่มีที่เกิด จิตนี้ไม่มีรูปร่าง มีแต่นามธรรม มันเป็นสภาวะอยู่อย่างนั้น แล้วมันก็ทุกข์อยู่อย่างนั้น เพราะมันไม่มีวันตาย มันต้องรอสภาวะเกิด

นี้สภาวะเกิดนี่มันก็เกิดไม่ได้เพราะมนุษย์นี่มันมีจำกัด พยายามเกิดให้มากขึ้น ๆ เราก็ว่าเกิดมาแสนยาก ๆ การเกิดนี้แสนยากทำไมมันมีมากมาย กรรมมันพาเกิดเราเป็นคุณงามความดี กรรมความดีพาให้เราเกิดเป็นมนุษย์ขึ้นมา เป็นมนุษย์ขึ้นมานี่แล้วกว่าจะดำรงชีวิตไปทั้งชีวิต มันทุกข์ยากขนาดไหน? มันทุกข์ยากนะ เวลาลำบากลำบนมันก็น่าเบื่อหน่ายชีวิต แต่เบื่อหน่ายชีวิตมันก็ต้องทรงชีวิตไป การได้มาแสนยาก การรักษาไว้ยากกว่า

นี่ก็เหมือนกัน การได้ชีวิตมานี่แสนยากเลย ได้มาแสนยากเพราะอะไร? เพราะจิตนี่พยายามแย่งกันเกิด แย่งกันเกิดแต่จิตของเราได้มีบุญวาสนา มันแย่งกันเกิดยังไงมันก็ต้องเป็นไปตามกรรม กรรมจำแนกสัตว์ให้เกิดต่างกัน เกิดขึ้นมาแล้วจะมีอำนาจวาสนาขนาดไหนนี้ อยู่ที่อำนาจวาสนาของกรรมนั้น แต่การเกิดมันรักษาไว้มันทุกข์ยากขึ้นไปอีก

นี่ก็เหมือนกัน ถ้ามันทุกข์ยากนี่มันไม่มีเครื่องอยู่ ไม่มีที่อาศัย มันลุ่ม ๆ ดอน ๆ มันเป็นไปประสาของมัน มันต้องมีที่อยู่อาศัยที่เครื่องเคียงเครื่องที่อาศัย ที่อาศัยคือธรรมนี่ไง ธรรมนี่ทำบุญกุศลมันหวังที่พึ่ง ถ้าหวังที่พึ่งได้ บุญกุศลเกิดจากอะไร? เกิดจากการกระทำ เห็นไหม กรรมดีและกรรมชั่ว ทำดีก็ได้ทำชั่วก็ได้ บุญกุศลทำเป็นคุณงามความดีก็เป็นคุณงามความดี ทำเป็นความชั่วก็เป็นความชั่ว คุณงามความดีและความชั่วฝังลงที่ใจ ใจนี่สะสม

สิ่งต่าง ๆ รับรู้ที่ใจ รับรู้ที่ใจมันเป็นนามธรรมว่าเราเคยทำคุณงามความดีไว้ ถ้าเราระลึกรู้อยู่ เราเป็นมนุษย์ระลึกรู้อยู่ เราตายไปแล้วเราระลึกรู้ไม่ได้ เวลาเกิดขึ้นมาแล้วเราถึงนึกอะไรไม่ได้เลย ความระลึกรู้ในปัจจุบัน อายตนะทั้ง ๖ ในสัญญาในขันธ์ทั้ง ๕ นี่มันรับรู้ในสถานะที่ว่าเกิดเป็นมนุษย์แล้วมีภพ ภพนี้เป็นมนุษย์ขึ้นมา มันมีขันธ์ ๕ มีความจำ เวลามันย่อยสลายไป มันจะตายไป ขันธ์นี่มันละเอียดลงไป

ขันธ์ละเอียดลงไปเป็นตอของจิต เป็นอวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา จิตปฏิสนธิกับวิญญาณปฏิสนธิ เวลาเกิดขึ้นมาวิญญาณเป็นตัวพาเกิดกับวิญญาณรับรู้มันต่างกัน เรามีวิญญาณรับรู้แล้วเราก็สะสมของเราไว้ชาติหนึ่ง ๆ สะสมของเราไว้ชาติหนึ่งมันก็สะสมไป สะสมแล้วเราก็ระลึกได้เฉพาะชาตินี้ ระลึกได้ชาตินี้มันก็ทุกข์เฉพาะชาตินี้ ๆ การดำรงนี้ดำรงไว้แสนยาก การได้มาทุกข์ยากขนาดไหน? แล้วการดำรงอยู่เราจะดำรงอย่างไร?

ถ้าเราฉลาดอยู่ เราดำรงอยู่ มีที่พึ่งที่อาศัยที่เกาะเกี่ยวไป ที่พึ่งที่อาศัยคือคุณงามความดี ทำดีไม่เห็นได้ดีเลยทำดีขนาดไหน ทุกคนจะบอกเลย เราตักบาตรทุกวันเลย ทำดีทุกวันเลยทำไมความดีไม่เห็นตอบสนอง ความดีตอบสนองแน่นอน ตอบสนองนี่บุญกุศลคืออะไร? คือความสุขใจ คือว่าบ้านเราสะอาด ถ้าบ้านเราสะอาดขึ้นมานี่เราทำอะไรเราก็มีความสบายใจ ถ้าบ้านเราสกปรกขึ้นมานี่เราทำอะไร เราจะนั่งนอนในบ้านเรามันก็สกปรก

ในหัวใจก็เหมือนกัน ถ้าหัวใจสะอาด เราสร้างบุญกุศลทำความสะอาดของใจขึ้นมานี่ เรามีความอบอุ่นใจของเราขึ้นมาก่อน แล้วเรื่องสิ่งต่าง ๆ เรื่องอำนาจของกรรมที่ว่าเราออกไปข้างนอกแล้ว ออกไปประสบกับสังคมแล้ว สังคมบีบคั้นขึ้นมา นั่นอีกปัญหาหนึ่ง เห็นไหม ปัญหาอันนั้นเป็นปัญหาเรื่องของสังคม เรื่องของกรรม แต่เรื่องปัจจุบันคือเรารักษาตัวเราเองได้

นี่ก็เหมือนกัน ความสะอาดบริสุทธิ์เรารักษาตัวเราเองได้ แต่สังคมไม่สามารถให้ความสะอาดบริสุทธิ์กับเราได้ ไม่มีการการันตีกับเราได้ ความสะอาดบริสุทธิ์ของแต่ละบุคคลนั่นเป็นความสะอาดบริสุทธิ์ของแต่ละบุคคลที่สะสมขึ้นมา นี้เราสร้างสมความสะอาดของเราขึ้นมา เรามีความอบอุ่นใจของเรา ถ้าเราอบอุ่นใจของเรา เราเข้าสังคมไหน เราก็มีความองอาจกล้าหาญ ถ้าเราไม่มีลับลมคมในของเรา เราเข้าสังคมไหนก็มีความองอาจกล้าหาญ ไม่เก้อ ๆ เขิน ๆ เราไม่มีความเก้อ ๆ เขิน ๆ ในหัวใจของเรา นี่เราสร้างความสะอาดในหัวใจของเรา ถ้าเราเป็นอย่างนั้น

ทีนี้เรื่องของสังคมโลก มันเป็นสังคมโลก มันทุกข์ยาก ทุกข์ยากเป็นอย่างนั้น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกเลย “โลกธรรม ๘ ไม่มีใครโดนเสียดแทงเท่ากับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า” เวลาเราทุกข์ยากเราต้องย้อนกลับมาครูบาอาจารย์ของเรา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นพระพุทธเจ้า ยังโดนเขาจ้างคนมาด่า จ้างคนมาติฉินนินทา เพราะอะไร? เพราะลัทธิศาสนาต่าง ๆ แข่งขันกันไง

สมัยนั้นแข่งขันกัน แต่พระพุทธเจ้าไม่แข่งขันกับใคร พระพุทธเจ้าประกาศความจริง ความจริงในอริยสัจ ความจริงสุดส่วน ความจริงจนเขาไม่อาจสามารถรู้ได้ ต้องมีน้อมใจลงเชื่อก่อน ต้องน้อมใจลงเชื่อฟังธรรมกันก่อน อนุปุพพิกถา ธรรม ฟังธรรม เห็นไหม ฟังเรื่องของสวรรค์ เรื่องของทาน ให้เห็นสภาวะการเป็นไป เห็นสภาวะการเป็นไปแล้วมีความเชื่อขึ้นมาในหัวใจ แล้วขึ้นมาถึงเรื่องของอริยสัจ

ถ้าเรื่องของอริยสัจแล้วในหัวใจขึ้นมานี่ มันจะเป็นไป แล้วความจริงสุดส่วน สุดส่วนจนไม่สามารถจะเข้าใจได้ จนสามารถว่าเรื่องของโลกเทียบกับเรื่องของโลก มีคนพูดมากเลยว่าปัญญาในความคิดของเรา มันก็เป็นปัญญาความคิดธรรมดานี่ มันจะแก้กิเลสได้อย่างไร? เริ่มต้นมันก็เป็นปัญญาความคิดของเรานี่ล่ะ แต่มันละเอียดอ่อนเข้าไปได้ ถ้าปัญญาของเราไม่ก้าวเดินขึ้นไปมันก็เป็นปัญญาของโลกเขา เราก็วนเวียนอยู่ในโลกนี่ แล้วก็เป็นปัญญาของโลกนี่หมุนไปตามโลกเขา

ถ้าใช้ความคิดอันนี้คิดตรึกตรองเข้ามา ความคิดนี้เกิดขึ้นมาอย่างไร? ความคิดนี้คิดขึ้นมาเพราะเหตุไร? ความคิดขึ้นมาคิดมาแล้วให้ผลเป็นความทุกข์หรือความสุข ถ้าเป็นความสุขขึ้นมา เราต้องเหยียบคันเร่งขึ้นไป ความคิดอย่างนี้ควรส่งเสริม ความคิดอย่างนี้เป็นธรรม ความคิดในคุณงามความดีเราคิดแล้วควรทำ แต่ทำได้ไม่ได้มันเป็นหัวใจของเรา ทำได้หรือไม่ได้นั่นมันเรื่องของโลกเขา

แต่เรื่องของธรรมมันทำได้ตลอดเวลา เรื่องทำความสงบของใจ ใจจะเวิ้งว้างขนาดไหน จะกว้างขวางขนาดไหน มันจะบรรจุโลกธาตุขนาดไหน มันจะเวิ้งว้างมันจะมหาศาลขนาดไหน นี่เป็นเรื่องของความคิด เรื่องของนามธรรม ไม่ต้องมีที่เก็บที่อาศัย ไม่มีปริมาตรวัด แต่ความสุขของโลกเขาต้องมีปริมาตรวัด

นี่ก็เหมือนกัน ความเวิ้งว้างความสุขความมหาศาลของเรานี่ ความคิดขนาดไหน เหยียบคันเร่งขึ้นไปนี่ คันเร่งมันจะเสริมตรงนี้เสริมคุณงามความดีของเรา เสริมความสุขของเราเสริมขึ้นไปได้ แต่เวลามีความทุกข์ขึ้นมาเราไล่ต้อนมัน ความทุกข์นี้ขึ้นมาเพราะเหตุไร? ความทุกข์นี่เกิดมา เป็นประโยชน์ขึ้นมานี่เราเหยียบเบรกไง เหยียบเบรกไม่ให้ตามความคิดไป

แต่เวลาเราคิดถึงคุณงามความดีนี่คิดได้ชั่วคราว แต่ถ้าคิดถึงความทุกข์ยาก เวลาอะไรมันสะกิดใจขึ้นมานี่มันจะฝังใจมาก แล้วมันจะคิดถึงมาก แล้วพอคิดแล้วนี่เบรกไม่ทันหรอก มันจะไหลไปตามอารมณ์ความคิดเลย ความคิดของเรามันจะดึงเรากระชากลากไป นี่ไหลไม่ทัน ต้องเหยียบเบรก เบรกด้วยสติสัมปชัญญะ สติสัมปชัญญะเหยียบเบรกของเราไว้ เหยียบเบรกใจของเราไม่ให้คิดตามกระแสไป นั่นเริ่มจากเหยียบเบรกได้

จากเริ่มรู้เท่าทัน รู้ทันรู้แจ้งตามรู้ตามเห็น มันคิดขึ้นมาแล้วมันทุกข์ยากจนพอใจแล้วค่อยไปรู้เห็นว่า นี่เราคิดขึ้นมาก็ทุกข์ยาก นี่ตามรู้ตามเห็น รู้เท่ารู้ทันนี่เหยียบเบรกได้นี่รู้เท่ารู้ทัน เวลามันรู้ขึ้นมามันมีความคิดขึ้นมามันจะรู้ทันขึ้นมา แล้วมันจะเหยียบเบรกขึ้นมา รู้แจ้งแทงตลอด ความคิดจะเกิดขึ้นจะรู้ทันขึ้นมา มันจะรู้ขึ้นมาได้อย่างนี้ ไอ้เหยียบเบรกนี่มันเป็นแค่ขันติบารมี ขันติบารมีนี้เป็นความอดทนไว้เฉย ๆ

แต่การวิปัสสนาญาณของเราขึ้นมานี่ มันต้องวิปัสสนาญาณขึ้นมาชำระกิเลส ถ้าไม่มีการชำระกิเลสมันชำระไม่ได้ มันก็เกิดว่าเหยียบเบรกไว้ได้เฉย ๆ เท่านั้น ถ้ามีรู้แจ้งแทงตลอดมันจะรู้แจ้งแทงตลอด จนว่ามันเกิดอีกไม่ได้เลย มันเกิดจะรู้ทันตลอด ขันธ์กระเพื่อมเสวยอารมณ์ จิตเสวยอารมณ์ขึ้นมานี่ มันจะทำให้ขันธ์รู้สึกตัวออกมา ความรู้สึกออกมามันจะพร้อมไปกับสติสัมปชัญญะออกมาข้างนอก รู้แจ้งแทงตลอด ความรู้จะเกิดขึ้นมาก็รู้ นั่นน่ะรู้

ถ้าชีวิตสิ่งนี้พอรู้เท่าทันขึ้นมา มันก็เป็นภาระ เป็นภาระที่ทรงขันธ์ไป มันก็มีความเอือมระอากับเรื่องของร่างกาย แต่เรื่องของหัวใจเข้าถึงไม่ได้ พระอรหันต์ความทุกข์เข้าถึงร่างกายได้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังให้หมอชีวกรักษาเลย ความทุกข์นี่กระทบกระเทือนของร่างกายได้ มันมีความรู้สึกรับรู้อยู่ เป็นเจ็บไข้ได้ป่วยยังรับรู้อยู่ แต่ไม่สามารถเข้าถึงหัวใจเพราะหัวใจรับรู้อย่างนี้ไง “ความทุกข์เกิดขึ้นมันก็เป็นธรรมดาของเขา” รู้แจ้งแทงตลอดรู้เท่าทันในความคิดของตัวเองได้หมด ความคิดของตัวเอง ถึงว่าไม่มีเวทนาในหัวใจ ไม่มีความทุกข์ในหัวใจ หัวใจนั้นจะไม่ตามสิ่งนั้นไป แต่เรื่องของธาตุขันธ์ มันเป็นไป นี่ภาระของผู้ที่รู้แจ้งแทงตลอด

แต่เรายังไม่รู้แจ้งแทงตลอด เราก็ต้องพยายามรักษาของเราไป รักษาของเราไป แล้วพยายามทำใจของเราให้สะอาด แล้วทนเอา ทนไปถึงที่สุดแล้วมันถึงไม่ต้องเวียนตายเวียนเกิดอีกไง ถ้าเวียนตายเวียนเกิดมันทุกข์ยากของเรา ทุกข์ยากมากนะ ทุกข์ยากอย่างนี้แล้วมันก็เวียนตายเวียนเกิด

แต่เรามีความสุขขนาดไหน ความพอใจขนาดไหน แล้วมันก็เป็นไปไม่ได้จะให้มันขาดช่วงไปขาดหายไปโดยที่เราไม่รับรู้ นี่เป็นไปไม่ได้เลย มันต้องเป็นไปโดยหายไปที่เรารับรู้ได้ เราชำระได้ เราจำกัดได้ นี้คือมรรคอริยสัจจัง เราต้องสร้างสมขึ้นมา คุณงามความดีอย่างนี้ คุณงามความดีอย่างหยาบ ๆ อย่างทานเราให้ทานไป คุณงามความดีแบบสะสมขึ้นมา มีศีลขึ้นมาเราก็ทำให้ใจสงบขึ้นมา แล้วก็วิปัสสนาปัญญา นี่ภาวนามยปัญญาขึ้นมา ทำให้ชำระกิเลสของเราได้

มันเกิดขึ้นมาจากเรา เกิดขึ้นมาจากหัวใจของมนุษย์ เกิดขึ้นมาจากสรรพสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นไปได้ นี่สิ่งนี้เราพบในศาสนา ศาสนาถึงมีประโยชน์มากไง ศาสนามีประโยชน์สำหรับคนที่เข้าใจและคนที่สนใจ คนที่แสวงหา ศาสนาก็มีอยู่ ชาวพุทธนี่มีศาสนาอยู่ แต่ไม่เข้าใจเรื่องของศาสนา ไม่รู้ใช้ประโยชน์ศาสนาอะไร ศาสนาเป็นเรื่องของพระ พระก็ทรงไว้สิ เรื่องของเราเรื่องดำรงชีวิตของเราไป

เจ็บไข้ได้ป่วยไม่หายามารักษา มันจะเอาอะไรมารักษาตัวเอง เจ็บไข้ได้ป่วยมียารักษาก็รักษาตัวเองได้ ศาสนาถึงจะเป็นประโยชน์กับใจดวงนั้น นี่ใจดวงนั้นเข้าใจเรื่องศาสนา ศาสนาจะมีประโยชน์มาก เอวัง